ด่วนจี๋ แถมยังฉุกละหุกอีกต่างหาก
เพราะสายการบินทำกระเป๋าเดินทางของหัวหน้าหายที่ยุโรป หัวหน้าเลยโทรมาตอนเที่ยงวันอาทิตย์เพื่อถามผมดูว่าจะไปจัดนิทรรศการที่เกาหลีใต้แทนเขาได้ไหม
แน่นอนต้องได้อยู่แล้ว การไปทำงานต่างประเทศไม่ใช่จะขอไปกันได้ง่ายๆ…
วันถัดมา พอไปถึงบริษัท ตั๋วเครื่องบินก็จองไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่จัดเตรียมสัมภาระ แล้วก็ออกเดินทางไปเกาหลีใต้ อันที่จริง มีผู้ช่วยคนหนึ่งเดินทางไปเกาหลีล่วงหน้าแล้ว และเธอก็ถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพด้วยการนำทางของลูกค้า
ส่วนผมนั้นมีแค่กระดาษหนึ่งแผ่น ซึ่งก็คืออีเมลเขียนด้วยภาษาอังกฤษง่ายๆ จากลูกค้า แล้วผมก็บินไปเกาหลีใต้ทั้งแบบนี้แหละ
ภาษาอังกฤษของคนเกาหลีใต้ไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้
ระหว่างเกาหลีใต้กับไต้หวันไม่ต้องขอวีซ่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแค่ถามว่าคุณมาทำอะไรที่เกาหลี หลังจากแสดงเอกสารเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการแล้ว ผมก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองฉลุยและไปรับกระเป๋าเดินทาง แต่เรื่องชวนหงุดหงิดเล็กน้อยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น หลังเกิดเรื่องหัวหน้าผมยังบอกเลยว่า : นายนี่กล้ามากจริงๆ (แบมือ)
เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองซึ่งสื่อสารภาษาอังกฤษได้แล้ว ต่อจากนี้ไปก็ต้องภาษามือล้วนๆ
ผมมาถึงจุดขายตั๋วตามที่ในอีเมลของลูกค้าบอก ผมถึงกับประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าอีกฝ่ายฟังไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเลขภาษาอังกฤษง่ายๆ หรือบางทีเขาอาจฟังเข้าใจแต่กลัวภาษาอังกฤษไปก่อนเอง เจ้าหน้าที่สถานีก็เอาแต่โบกมือใส่ผมตลอด อย่างไรเสียพอเห็น E-mail แล้ว ผมก็ซื้อตั๋วจนได้
ต่อมาเจอคนขับฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ถึงกับไล่ผมลงรถเลยทีเดียว
เนื่องจากทันทีที่ขึ้นรถ ผมก็ถามว่า GO PJ Hotel ? (ไปโรงแรมพีเจไหม) เขาก็โบกมือสุดชีวิตและบอกผมว่าไม่ได้ไปที่นั่น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สถานีก็เอาแต่ไล่ผมขึ้นรถ (แบมือ) เป็นแบบนี้จนกระทั่งคนทั้งคันรถมองผม สรุปควรจะนั่งหรือไม่นั่งกันแน่ โทรศัพท์ของผู้ช่วยก็โทรไม่ติด
สถานที่ที่คุณจะไปน่าจะอยู่ละแวกโรงแรมกุกโด (Kukdo Hotel) นั่งรถสายนี้ถูกต้องแล้ว ฉันจะช่วยบอกกับคนขับให้
ว้าว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินภาษาจีนแล้วรู้สึกประทับใจขนาดนี้ เด็กหญิงคนหนึ่งพูดได้ทั้งภาษาเกาหลีและภาษาจีน ช่วยผมพูดสื่อสารกับคนขับหลายประโยค และแล้วผมก็ได้ขึ้นรถด้วยประการฉะนี้ ผมลากกระเป๋าเดินไปจนถึงท้ายรถ มองดูแม่น้ำฮันนอกหน้าต่างเงียบๆ WTF…ประเดี๋ยวพอเข้าไปในเมืองน่าจะมีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้เยอะกว่านี้ล่ะมั้ง ยังไงคุณลุงแก่ๆ จะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เมื่อถึงสถานีโรงแรมกุกโด เด็กหญิงคนนั้นยังใจดีบอกผมว่าถึงแล้ว ผมลงรถแล้วก็มองไปบริเวณโดยรอบอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ Shit…โรงแรมพีเจอยู่ไหนล่ะทีนี้? โทรศัพท์ของผู้ช่วยก็ยังคงโทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย…
ผมก็ลากกระเป๋าเดินทางของผมไปทั้งแบบนี้แหละ เดินไปตามทางพลางใช้ภาษาอังกฤษถามไปเรื่อยๆ…
เรื่องน่ากลัวคือไม่มีคนคิดจะตอบผมบ้างเลยนี่สิ ทั้งที่ผมยืนอยู่ใต้ตึกโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษแห่งหนึ่ง จับใครได้ก็ถามคนนั้น แต่ทุกคนก็ยังโบกไม้โบกมือและส่ายหน้าไม่โดยสนใจ หรือวันนี้ผมต้องนอนข้างถนนเสียแล้ว? ผมเดินไปทั่วอย่างจนปัญญา พยายามเลือกเดินไปตามถนนใหญ่เพราะกลัวตัวเองจะหลงทาง หลังจากเดินไปได้สิบนาทีผมก็เห็นสถานีตำรวจ
ผมถือหนังสือเดินทาง ชี้ไปที่วีซ่าของผม รวมถึงอีเมลถามว่า : Hello Sir, could you please tell me how to get PJ Hotel ? (สวัสดีครับคุณตำรวจ บอกหน่อยได้ไหมครับว่าไปโรงแรมพีเจยังไง)
Go Straight and Turn Left, PJ Hotel (เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย โรงแรมพีเจ)
อะเมซิ่ง… และแล้วผมก็มาถึงโรงแรมได้ด้วยประการฉะนี้… หลังจากเช็กอินเรียบร้อย ก็สามารถติดต่อโทรศัพท์ของผู้ช่วยได้ ซึ่งเขากำลังอาบน้ำอยู่… ด้วยความรู้สึกผิดอย่างแรงก็เลยเอาอาหารเย็นที่เหลือให้ผมไว้เป็นมื้อดึก (แบมือ)
เกาหลีใต้ ขอคำชี้แนะด้วยครับ
ป.ล. ต่อมาถึงได้พบว่าตัวเองเดินเลยมาถึงสถานีตำรวจ อันที่จริงโรงแรมพีเจใกล้กับโรงแรมกุกโดมาก…